
ที่มาของภาพ, Thai News Pix
พรรคฝ่ายค้านพร้อมใจกันใช้เวทีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ กดดันให้ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ลาออกจากตำแหน่ง
การเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในเรื่องวิกฤตทางเศรษฐกิจและวิกฤตทางการเมืองโดยไม่มีการลงมติ อาศัยอำนาจตามมาตรา 152 ของรัฐธรรมนูญ เริ่มต้นเมื่อเวลา 10.00 น. ที่ผ่านมา
กระบวนการนี้ไม่มีผลทางกฎหมาย แต่ถูกมองว่าฝ่ายค้านมุ่งหวังผลทางการเมืองคู่ขนานกับความเคลื่อนไหวนอกสภาของเครือข่ายนักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชน
น.อ. อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะเจ้าของญัตติ ได้ "ชู 3 นิ้ว" กลางสภา โดยอ้างว่าเป็นสัญลักษณ์ของการให้คำมั่นสัญญาและปฏิญาณตนต่อคนไทยทั้งประเทศว่าจะขอคืนอำนาจอธิปไตยกลับไปให้ประชาชน และใช้รัฐสภาในการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อหาทางออกของประเทศ พร้อมเรียกร้องให้นายกฯ พูดคุยกับฝ่ายความมั่นคงเพื่อยกเลิกหมายจับและหมายเรียกแกนนำเยาวชนและนักเคลื่อนไหวทั้งประเทศ หยุดคุกคามแล้วเปลี่ยนเป็นการคุ้มครอง หยุดปิดหูแล้วรับฟัง หยุดปิดกั้นแล้วนำเสนอทางออกร่วมกัน
น.อ. อนุดิษฐ์ ผู้เป็นเลขาธิการ พท. เป็นนักการเมืองคนที่ 2 ที่ "ชู 3 นิ้ว" กลางสภา หลังจาก น.ส. ญาณธิชา บัวเผื่อน ส.ส.จันทบุรี พรรคก้าวไกล เคยแสดงสัญลักษณ์นี้เมื่อ 27 ส.ค. เรียกร้องให้หยุดคุกคามประชาชน โดยให้เหตุผลว่านักเรียนบางส่วนในพื้นที่ของเธอถูกคุกคามจากการร่วม "ชู 3 นิ้วขณะเคารพธงชาติ"

ที่มาของภาพ, Thai News Pix
สำหรับการ "ชู 3 นิ้ว" มีที่มาจากภาพยนตร์เรื่อง The Hunger Games ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของฝ่ายเรียกร้องประชาธิปไตยในไทยนับจากรัฐประหารปี 2557 และต่อเนื่องมาถึงฝ่ายประท้วงต่อต้านรัฐบาลในปัจจุบัน สื่อความหมายถึงการมีเสรีภาพ ความเสมอภาค และภราดรภาพ
แม้ออกตัวว่าการอภิปรายครั้งนี้ไม่ขอใช้โวหารทางการเมือง แต่ น.อ. อนุดิษฐ์ ได้มอบฉายาใหม่ให้ พล.อ. ประยุทธ์ว่าเป็น "นายกฯ ที่ทำให้เกิดการก่อม็อบมากที่สุด" ในประวัติศาสตร์ เนื่องจากเยาวชนมองไม่เห็นอนาคต จึงออกมาชุมนุมต่อต้านรัฐบาลตั้งแต่ระดับชั้นประถมยันอุดมศึกษา
พิธาวิจารณ์ผู้นำ 2 อภิสิทธิ์ "ไม่มีฝ่ายค้าน-งบประมาณเต็มมือ"
เช่นเดียวกับคำอภิปรายของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่ว่าไม่มีการประท้วงรัฐบาลครั้งไหนเกิดขึ้นจำนวนมากและกระจายไปขนาดนี้ ซ้ำยังลงลึกไปถึงนักเรียนมัธยม ถ้าการเมืองดี พื้นที่ของนักเรียนมัธยมคงไม่ได้อยู่บนท้องถนน

ที่มาของภาพ, Thai News pix
หัวหน้าพรรคก้าวไกลระบุด้วยว่า รัฐธรรมนญปี 2560 ทำหน้าที่เฉพาะกิจเพื่อสืบทอดอำนาจให้ พล.อ. ประยุทธ์กลับมาเป็นนายกฯ และรักษาอำนาจให้ยาวนานสุด พอเยาวชนออกมาทวงคืนอนาคต นอกจากรัฐบาลจะไม่รับฟัง ยังคุกคามและใช้มาตรา 116 ของประมวลกฎหมายอาญา อย่างไม่สมเหตุสมผล หวังให้สังคมหวาดกลัวและไม่กล้าออกมาเปลี่ยนแปลง
เขากล่าวว่า ภาวะผู้นำในปัจจุบันคือสิ่งที่ถ่วงรั้งประเทศที่กำลังเผชิญวิกฤตรอบด้านทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม พร้อมวิจารณ์ พล.อ. ประยุทธ์ว่ามีอภิสิทธิ์ 2 อย่างคือ "ไม่มีฝ่ายค้าน" ในช่วงที่เป็นนายกฯ 5 ปีแรก จึงไม่มีกระบวนการตรวจสอบ และ "มีงบประมาณเต็มมือ" รวมทุกปีงบประมาณสูงถึง 20 ล้านล้านบาทซึ่งมากที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่ผลงานที่ได้คือ "เศรษฐกิจรั้งท้ายเกือบบ๊วยของเอเชีย" ตามการสำรวจของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ)
ฝ่ายค้านรุมกดดันนายกฯ ลาออก
แกนนำพรรคฝ่ายค้านทั้ง เลขาธิการ พท., หัวหน้าพรรคก้าวไกล, นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ และนายนิคม บุญวิเศษ หัวหน้าพรรคพลังปวงชนไทย ยังพร้อมใจกันเรียกร้องให้ พล.อ. ประยุทธ์ลาออกจากตำแหน่ง
- "หากท่านอยากช่วยประเทศจริง ๆ ทำง่ายนิดเดียว แต่เชื่อว่าท่านจะไม่ทำเพราะอำนาจมันหอมหวานเย้ายวนเสียเหลือเกิน นายกฯ ประยุทธ์ลาออกเถอะครับ ถ้าชายชาติทหารอย่างท่านกล้าหาญเหมือนเยาวชนที่ออกมาต่อสู้ พอพวกอภิปรายกันจบ นายกฯ ประกาศลาออก ปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศนี้จะหายไปทันที แล้วคนไทยจะปรบมือแสดงความโห่ร้องทั้งประเทศ" - น.อ. อนุดิษฐ์กล่าว
- "ในเมื่อแก้ปัญหาบ้านเมืองไม่ได้ ท่านควรหลีกทาง ลงจากอำนาจ คืนอนาคตให้ชาติ ออกเถอะครับก่อนที่ประเทศจะย่อยยับเกินกว่าที่พวกท่านจะชดใช้คืนไหว" - นายพิธากล่าว
- "ท่านเป็นนายกฯ มา 6 ปีแล้ว... ถ้าท่านเห็นแก่ชาติบ้านเมืองและประชาชน มันหมดเวลาของการใช้อำนาจที่ไม่ตรงไปตรงมาแล้ว หมดเวลาของท่านแล้ว" และ "บางทีการลาออก การลงจากอำนาจ ยากตรงที่คนแวดล้อมที่คอยบอกว่าท่านเก่ง ต้องอยู่ ถ้าไม่อยู่ประเทศจะเสียหาย ทำให้ฮึกเหิมว่าท่านเก่งคนเดียว ถ้าวันใดท่านตัดสินใจแบบ พล.อ. เปรม (ติณสูลานนท์ อดีตนายกฯ 8 ปี) ว่า 'ผมพอแล้ว' ท่านจะมีความสุขที่สุด ลูกหลานก็มีความสุข คนรอบข้างที่เคยเยินยอท่านก็ไปหาคนอื่นต่อเพราะท่านหมดอำนาจไปแล้ว" " - นายวันมูหะมัดนอร์กล่าว

ที่มาของภาพ, Thai News Pix
นายกฯ ลั่น "ไม่ได้มีปัญหา" นร.-นศ.
ด้าน พล.อ. ประยุทธ์ ได้ลุกขึ้นชี้แจงหลังฝ่ายค้านอภิปรายไปได้เพียง 3 คน โดยกล่าวตอนหนึ่งว่า "เรื่องเด็ก ๆ ผมไม่ได้มีปัญหากับเขา มันมีแต่คนที่ทำให้เขามีปัญหากับผม สักวันก็คงรู้บ้างว่าใครไปยุ่งเกี่ยวตรงนั้น ประเทศไทยต้องสงบให้ได้มากที่สุดในเวลานี้ ช่วงเศรษฐกิจกำลังมีปัญหา"
พล.อ. ประยุทธ์บอกด้วยว่า รัฐบาลชุดนี้ทำงานเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน แต่ยอมรับว่าการจะทำให้ทุกคนพอใจค่อนข้างทำได้ยาก ก่อนร่ายยาวให้เห็นโครงสร้างของประชากรไทย 66.5 ล้านคน ซึ่งมีนักเรียนระดับมัธยมอยู่ 2.2 ล้านคน หรือคิดเป็น 23% ของคนไทยทั้งประเทศ และนิสิต/นักศึกษาระดับปริญญาตรี 1.5 ล้านคน หรือ 16%
พล.อ. ประยุทธ์ย้ำว่า รัฐบาลมีความห่วงใยในสถานการณ์ปัจจุบัน ทั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และสถานการณ์อื่น ๆ จะพยายามทำหน้าที่อย่างเต็มที่ เพื่อดูแลแก้ไขทุกอย่างให้กลับมาสู่ปกติโดยเร็ว และเดินหน้าสู่การพัฒนาประเทศในระยะต่อไป แม้จะมีอุปสรรคอยู่บ้างก็ตาม แต่ก็ยังคงมีความพยายามเพราะนึกถึงชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน จำเป็นต้องทำด้วยความรอบคอบ ระมัดระวังข้อกฎหมาย ภายใต้งบประมาณที่มีอยู่จำกัด

นายกรัฐมนตรียังขอร้องด้วยว่า "อย่ารังเกียจทหารมากนัก" เพราะทหารก็คือลูกหลานของคนไทยทั้งนั้น ไม่ใช่ลูกหลานของตัวเขาเอง พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า "หลายคนเคยเป็นทหารมาก่อน แต่ไม่ประสบความสำเร็จในวงการทหารเท่าไร ก็มักจะโจมตีทหารเรื่อย" จึงขอว่าอย่าแยกทหารออกจากประชาชน ทหารไทยไม่ได้มีแค่ปฏิวัติ แต่ทุกวันนี้ทหารทำงานเพื่อประชาชนทั้งการป้องกันประเทศ การป้องกันภัยพิบัติ การป้องกันโควิด-19
พปชร. ประท้วงวุ่น หลังก้าวไกลยกข่าวลือรัฐประหารมาเสียดสีนายกฯ
ตลอดทั้งวัน ส.ส. ฝ่ายค้านต้องอภิปรายวนเวียนอยู่กับประเด็นการสืบทอดอำนาจของหัวหน้า คสช. การทวงถามความรับผิดชอบต่อการคุกคามเครือข่ายนักศึกษา และการเรียกร้องให้ลาออกจากตำแหน่ง โดย น.ส.จิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด พท. ถึงขนาดทำหนังสือลาออกมาเผื่อ พล.อ. ประยุทธ์ โดยกรอกรายละเอียดทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว เพียงแค่นายกฯ ลงนาม เอกสารก็จะมีผลอย่างสมบูรณ์ เธอชี้ว่านี่จะถือเป็นการ "เสียสละต่อแผ่นดินครั้งยิ่งใหญ่" และ "ไม่เป็นภาระของลูกหลานในอนาคต"
ขณะที่ ส.ส. อีก 2 คนได้ใช้วาจาไล่ พล.อ. ประยุทธ์แบบตรง ๆ ก่อนจบการอภิปราย โดย น.ส. นภาพร เพ็ชร์จินดา ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย เรียกร้องให้นายกฯ "ทำความดีสักครั้งก่อนถูกไล่ออกไป" ด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2560 พร้อมกล่าวในตอนท้ายว่า "ประยุทธ์ออกไป ๆ" ไม่ต่างจากนายศรัณย์วุฒิ ศรัณย์เกตุ ส.ส.อุตรดิตถ์ พท. ที่ตะโกนปิดท้ายการอภิปรายของตัวเองว่า "เผด็จการประยุทธ์ ออกไป ๆ ๆ คนไทยไม่เอานายกฯ คนนี้แล้ว"
ส่วนนางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้นำ "ข่าวลือ" เรื่องการรัฐประหารมาพูดกลางสภา โดยอ้างเหตุผลว่าในฐานะที่ พล.อ. ประยุทธ์เคยทำรัฐประหารมาก่อน และอ้างว่าเป็นนายกฯ ที่มาจากการเลือกตั้ง จึงอยากสอบถามว่ามีความคิดจะปกป้องรักษาประชาธิปไตยไม่ให้ถูกทำลายด้วยกองทัพอย่างไร และถ้ากองทัพใช้อาวุธยึดอำนาจ จะรับมือกับการกระทำอันป่าเถื่อนอย่างไร
"ในฐานะที่ได้ดิบได้ดีจากการรัฐประหาร จะช่วยให้ประชาชนสบายใจขึ้นได้หรือไม่ โดยการจูงมือกองทัพมาประกาศจะไม่มีการทำรัฐประหารอีก" นางอมรัตน์กล่าว

ที่มาของภาพ, Thai News Pix
คำอภิปรายของ ส.ส. ฝ่ายค้านรายนี้ สร้างความไม่พอใจให้แก่ ส.ส. พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พรรคที่เสนอชื่อ พล.อ. ประยุทธ์เป็นนายกฯ ในบัญชีในช่วงเลือกตั้ง โดยมี ส.ส. หลายคนลุกขึ้นมาประท้วงนางอมรัตน์ตั้งแต่ประเด็นเนื้อหาซึ่งทำผิดข้อบังคับการประชุม เนื่องจากกรณีพูดจาเสียดสีและขอให้ประธานควบคุมการประชุมด้วย, การไม่เข้าใจว่านี่ไม่ใช้เวทีอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่เป็นการอภิปรายทั่วไป ไปจนถึงประเด็นแต่งกายผิดข้อบังคับ เนื่องจากใส่ชุดคอระบายมาประชุม ไม่ใช่สูทสากล ทำให้ ส.ส. ก้าวไกลตั้งท่าประท้วงกลับเพื่อชี้แจงแทนเพื่อนร่วมพรรค และมีการโต้เถียงกันไปมานับ 10 นาที ก่อนที่นายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภา ปฏิบัติหน้าที่ประธานที่ประชุม ต้องตัดบทไม่ให้มีใครพูดต่อ ก่อนเริ่มอภิปรายกันต่อไป
ประยุทธ์ปัดถูกเศรษฐีบังคับ
ส่วนประเด็นอื่น ๆ ที่ฝ่ายค้านหยิบยกขึ้นมาอภิปรายเพื่อโจมตีรัฐบาลคือการบริหารเศรษฐกิจล้มเหลว ขาดวินัยทางการเงินการคลัง สะท้อนผ่านการก่อหนี้ให้ลูกหลานด้วยการกู้เงินต่อเนื่องจากยุครัฐบาล "ประยุทธ์ 1" ถึง "ประยุทธ์ 2"
นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเศรษฐกิจใหม่ อภิปรายตอนหนึ่งว่า พล.อ. ประยุทธ์เป็นนายกฯ คนเดียวที่เอานายทุนมานั่งล้อมตัวเองเอาไว้ หากยังทำอย่างนี้อยู่ เจ๊ง "ภาษีทั้งหมดกำลังจะเทเข้ากระเป๋านายทุน เขาถึงได้รวยกันพุงปลิ้น" พร้อมตั้งคำถามว่าการเตรียมแจกเงินให้ประชาชนอีก 3 พันบาท จำนวน 15 ล้านสิทธิ์ เงินจะไปอยู่ที่ใคร จะพ้นเงื้อมมือนายทุนหรือไม่ อยากให้คิดให้รอบคอบ
เกี่ยวกับเรื่องนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ปฏิเสธโดยชี้แจงว่า "ที่บอกว่าเศรษฐีห้อมล้อมผมนั้น เขาไม่ได้บังคับผมสักเรื่อง เพราะผมไม่ได้ให้เขาบังคับ ผมไม่ได้ร้องขออะไรเขา และเขาก็ไม่ได้ร้องขออะไรผม ทุกอย่างเป็นไปตามกติกา" พร้อมย้ำว่าที่ผ่านมาได้ประคับประคองให้เศรษฐกิจฟื้นฟูได้ ไม่ต้องเลิกจ้างพนักงาน
"ก็ต้องขอบคุณท่านในฐานะอดีตรองนายกฯ มีความรู้ดี ท่านก็คุยกับผมมาหลายรอบ ท่านก็เคยพูดกับผมว่าท่านพร้อมเข้ามาช่วยเป็นรองนายกฯ แต่ผมคงไม่รับเพราะผมมีครบแล้ว มีเต็มแล้ว เอาไว้คราวหน้าก็แล้วกัน" พล.อ. ประยุทธ์กล่าว
อย่างไรก็ตามนายมิ่งขวัญได้ลุกขึ้นสวนทันควันว่าคุยกันคุยกันคนละเรื่อง และขออย่าพูดให้คนเข้าใจไขว้เขว ครั้งที่แล้วก็พูดอย่างนี้ เดี๋ยวคนก็บอกว่าผิดหวังแล้วมาด่าตน ขอย้ำว่าไม่ไป ไม่เกี่ยว
กลาโหมโต้ "จีทูจีเก๊" ซื้อเรือดำน้ำ
อีกประเด็นที่มีการอภิปรายคือ โครงการจัดซื้อเรือดำน้ำของกองทัพเรือ (ทร.) แม้ ทร. จะทำหนังสือถึงคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2564 แจ้งชะลอการขอรับงบประมาณปี 2564 จำนวน 3,375 ล้านบาทไปแล้วก็ตาม

ที่มาของภาพ, Thai News Pix
นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม ตั้งข้อสังเกตว่า การจัดซื้อเรือดำน้ำของ ทร. ไม่ได้เป็นการจัดซื้อแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) เนื่องจากฝ่ายไทย โดย พล.ร.อ. ลือชัย รุดดิษฐ์ เสนาธิการทหารเรือในขณะนั้น ได้ทำสัญญาซื้อขายกับเฮียลู่ ประธานบริษัท China Shipbuilding & Offshore International (CSOC) ซึ่งไม่ได้เป็นรัฐบาล และการโอนเงินก็ไม่ได้โอนไปยังหน่วยงานรัฐหรือกระทรวงการคลังของจีน
ต่อมา พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม ชี้แจงว่า การจัดหาเรือดำน้ำเป็นการจัดหายุทโธปกรณ์แบบรัฐต่อรัฐ โดยได้ยกเว้นระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ ซึ่งในการดำเนินการระยะที่ 1 เป็นการดำเนินแบบรัฐต่อรัฐ และผ่านการพิจารณาข้อกฎหมายโดยหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงบประมาณ ส่วนที่ไม่ได้นำเรื่องมาขอความเห็นชอบจากรัฐสภา เพราะเป็น "ข้อตกลงซื้อขายเชิงพาณิชย์ระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาล" ไม่ใช่หนังสือสัญญาระหว่างประเทศตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 178
รมช.กลาโหมยังชี้แจงประเด็นผู้ลงนามในสัญญาว่า รัฐบาลจีนได้มอบอำนาจให้องค์การบริหารงานของรัฐด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศ (The State Administration for Science, Technology and Industry for National Defence : SASTIND) ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐที่ขึ้นตรงกับรัฐบาลจีน ต่อมาหน่วยงานี้ได้มอบอำนาจให้ CSOC ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจที่รัฐบาลจีนเป็นเจ้าของ 100% ทั้งนี้หนังสือรับรองการจดทะเบียนบริษัทของ CSOC ระบุคำว่า State-owned ซึ่งย้ำถึงความเป็นรัฐวิสาหกิจ

ที่มาของภาพ, Thai News Pix
ฝ่ายค้านเคยเปิดอภิปรายทั่วไปฯ รัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ มาแล้วหนหนึ่งเมื่อ 18 ก.ย. 2562 กรณีกล่าวถวายสัตย์ปฏิญาณตนก่อนเข้ารับหน้าที่ไม่ครบถ้วน และเคยเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ และรัฐมนตรีรวม 6 คน เป็นเวลา 3 คืน 4 วัน เมื่อเดือน ก.พ. 2563 แต่ไม่อาจคว่ำรัฐบาลได้ เนื่องจากทั้ง 6 คนได้รับคะแนน "ไว้วางใจ" มากกว่า
ในการเปิดอภิปรายทั่วไปฯ รอบนี้ นายชวน หลีกภัย ประธานสภา คาดการณ์ว่าการประชุมจะเสร็จสิ้นภายในเที่ยงคืนนี้ โดยฝ่ายค้านมีเวลาอภิปราย 10 ชั่วโมง และฝ่ายรัฐบาลมีเวลาชี้แจง 5 ชั่วโมง
"ออกไป" - Google News
September 09, 2020 at 02:02PM
https://ift.tt/3ifBOXd
ประชุมสภา : ประยุทธ์ลั่น “ไม่ได้มีปัญหา” กับ นร.-นศ. หลังถูกฝ่ายค้านรุมกดดันให้ลาออก - บีบีซีไทย
"ออกไป" - Google News
https://ift.tt/2MnsD8Q
No comments:
Post a Comment